ผู้ติดตาม

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ธุรกิจกับผู้บริโภค (Business to Consumer : B2C)

ธุรกิจกับผู้บริโภค (Business to Consumer : B2C)
ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business to Consumer - B2C) คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลงเป็นต้น

ธุรกิจกับผู้บริโภค (Business to Consumer : B2C) หมายถึงธุรกิจที่มุ่งเน้นการบริการกับลูกค้าหรือผู้บริโภค ซึ่งรูปแบบที่สำคัญที่สุดของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างธุรกิจและผู้บริโภค คือ การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ (electronic retailing) เราสามารถแบ่งระดับของกิจกรรมของ คือ การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ออกเป็น 5 ระดับดังต่อไปนี้คือ

1. การโฆษณาและแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic showcase) หมายถึงการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของบริษัทเท่านั้น โดยยังไม่มีการรับสั่งสินค้าทางเครือข่าย
2. การสั่งซื้อสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic ordering) หมายถึง การใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการสั่งซื้อสินค้า แต่ยังคงชำระเงิน ด้วยวิธีการเดิม เช่น ชำระด้วยเช็ค หรือ บัตรเครดิตผ่านทางช่องทางปกติ
3. การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic payment) หมายถึง การใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการสั่งซื้อสินค้า และชำระเงิน โดยในปัจจุบันการชำระเงินผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มักชำระด้วยการบอกหมายเลขบัตรเครดิต ในอนาคตการชำระเงินอาจทำได้โดยใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ (electronic money)
4. การจัดส่งและบริการหลังการขายด้วยอินเทอร์เน็ต (Electronic delivery and service) หมายถึง การใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการค้าปลีกอย่างคลอบคลุม ตั้งแต่การโฆษณา การรับสั่งสินค้า การชำระเงิน ตลอดจนการให้บริการหลังการขาย ในกรณีที่สินค้า เป็นสินค้า “สินค้าสารสนเทศ” (information goods) เช่น ข่าวสาร ซอฟต์แวร์ ภาพยนตร์ หรือเพลงการจัดส่ง (delivery) สินค้าเหล่านี้ ยังสามารถทำผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย
5. การทำธุรกรรมและการแลกเปลี่ยนทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic transaction) เช่น การแลกเปลี่ยนเงินตรา การซื้อขายสินค้าทางการเงิน เช่น หลักทรัพย์ การซื้อขายสินค้าทั่วไป (commodity) เช่น น้ำมัน หรือทองคำ เป็นต้น
ธุรกิจกับผู้ซื้อปลีกหรือบีทูซี (B-to-C = Business-to-Consumer) จัดอยู่ในประเภทของE-COMMERCE คือประเภทที่ผู้ซื้อปลีกใช้อินเตอร์เนตในการซื้อสินค้าจากธุรกิจที่โฆษณาอยู่ในอินเตอร์เน็ต

E-Commerce แบ่งเป็น 3 ประเภท
(1)อีคอมเมิร์ซระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจ หรือ บีทูซี (B-to-C = Business-to-Consumer) ซึ่งอาจจะมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
- การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจโดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ กลุ่มสนทนา กระดานข่าว เป็นต้น
- การจัดการด้านการเงิน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว เช่น ฝาก-ถอน เงินกับธนาคาร ซื้อขายหุ้นกับผู้ค้าหุ้น เช่น อีเทรด (www.etrade.com) เป็นต้น
- ซื้อขายสินค้าและข้อมูล ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายสินค้าและข้อมูลผ่านอินเตอร์เนตได้โดยสะดวก
E-Commerce แบ่งเป็น 6 ส่วน
(1)การขายปลีกทางอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเทลลิ่ง (E-tailing= Electronic Retailing) หรือร้านค้าเสมือนจริง (Virtual Storefront) ยอดขายปลีกอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริกาใน ค.ศ. 1999 มีมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท
E-Commerce ตามประเภทสินค้าก็แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
(1)สินค้าดิจิตอล เช่น ซอฟท์แวร์ เพลง วิดีโอ หนังสือ ดิจิตอล เป็นต้น ซึ่งสามารถส่งสินค้าได้โดยผ่านอินเตอร์เนต
(2)สินค้าที่ไม่ใช่ดิจิตอล เช่น สินค้าหัตถกรรม สินค้าศิลป์ชีพ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง เครื่องประดับ เครื่องจักรอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งต้องส่งสินค้าทางพัสดุภัณฑ์ ผ่านไปรษณีย์หรือบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์


ที่มา:http://vclass.mgt.psu.ac.th/~465-302/2007-1/Assignment-02/BPA_30_51_v1/structure.htm

รหัส5202100014

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software)

ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software)

ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1.ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน (Special Purpose Software)
จะมีความเหมาะสมกับงานเฉพาะด้าน เช่น โปรแกรมด้านการคำนวณราคาค่าน้ำของแต่ละบ้าน จะมีประโยชน์กับงานด้านการประปา หรือโปรแกรมสำหรับฝากถอนเงิน ก็จะมีประโยชน์กับองค์กรเกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร

ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้านส่วนมากจะไม่มีการจำหน่ายอยู่ทั่วไป องค์กรที่ต้องการใช้งานมักจะต้องพัฒนาด้วยตนเอง หรือว่าจ้างบริษัทซอฟต์แวร์พัฒนาให้โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีบริษัทซึ่งพัฒนาซอฟต์แวร์เฉพาะด้านมาวางจำหน่ายก็มักจะมีราคาสูง รวมทั้งมีข้อเสนอในการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะสมกับองค์กรต่าง ๆ ด้วย

2.ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป (General purpose Software)
จะเป็นซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาสำหรับงานทั่ว ๆ ไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานส่วนตัวได้อย่างหลากหลาย ทำให้เป็นซอฟต์แวร์ประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งส่วนมากจะเป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่ในเครื่องระดับไมโครคอมพิวเตอร์

ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป สามารถแบ่งตามประเภทของงานได้ดังนี้

ซอฟต์แวร์ตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Spreadsheet)
ธุรกิจในสมัยก่อนนั้นการทำงบประมาณ หรือการวางแผนต่าง ๆ ต้องใช้กระดาษบัญชีและเครื่องคิดเลขเท่านั้น สำหรับสมัยนี้ด้วยซอฟต์แวร์ตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ใช้สามารถพิมพ์หัวข้อหรือชื่อของข้อมูล และตัวเลขข้อมูลต่าง ๆ เข้าในคอมพิวเตอร์ โดยที่ในคอมพิวเตอร์จะมีตารางที่เปรียบเสมือนกระดาษบัญชีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถคำนวณได้ตามสูตรที่ผู้ใช้ทำการกำหนด โดยที่สูตรเหล่านั้นจะไม่ปรากฏในช่องของข้อมูลเลย ยิ่งไปกว่านั้นหากผู้ใช้เปลี่ยนตัวเลขหรือข้อมูลใด ๆ ก็ตาม จะเห็นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกันในทันที ปัจจุบันมีผู้ใช้ประโยชน์ของตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์มากมาย ไม่เฉพาะแต่ในทางบัญชีเท่านั้น แต่ยังนิยมใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ บริหารการเงิน และอื่น ๆ อีกมาก

1.ซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ (Word processing)
ปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์มากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับงานพิมพ์เอกสารรวมอยู่ด้วย ซึ่งโปรแกรมนี้ทำให้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำหรับสร้าง แก้ไข ตรวจสอบ พิมพ์ และจัดเก็บข้อความต่าง ๆ หนังสือที่จำหน่ายในท้องตลาดในปัจจุบันนี้ ส่วนมากก็เริ่มต้นจากการพิมพ์ข้อความลงในคอมพิวเตอร์ด้วยซอฟต์แวร์ที่ประมวลคำ

2.ซอฟต์แวร์การพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Publishing)
ในสมัยก่อนการจัดทำหนังสือพิมพ์ หรือวารสารต่าง ๆ นั้นต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมายหลายขั้นตอนซึ่งรวมเรียกว่าการเรียงพิมพ์ โดยที่จะต้องมีผู้ตัดต่อรูปภาพที่ต้องการ วาดกรอบของภาพหรือกรอบหัวเรื่อง และเขียนข้อความ และนำข้อความ ภาพ และกรอบมาประกอบกันตามแบบที่ออกแบบไว้ การทำงานที่ยุ่งยากเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เอกสารเหล่านั้นมีราคาแพง แต่ในปัจจุบันนี้ขอเพียงมีคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมการจัดพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ เท่านั้น ก็สามารถที่จะออกแบบงานหรือเอกสารให้เป็นที่น่าสนใจได้ โดยซอฟต์แวร์การพิมพ์แบบตั้งโต๊ะจะมีความสามารถด้านการจัดการเอกสาร ความสามารถด้านการเรียงพิมพ์ รวมทั้งการจัดสีที่สูงกว่าซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ

3.ซอฟต์แวร์นำเสนอ (Presentation Software)
เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการนำเสนอข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ โดยอาจประกอบด้วยตัวอักษร รูปภาพ แผนผัง รายงาน ตลอดจนภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น นิยมใช้ในการเรียนการสอน หรือการประชุม เพื่อนำเสนอข้อมูลให้การบรรยายนั้นน่าสนใจยิ่งขึ้น

4.ซอฟต์แวร์กราฟิก (Graphic Software)
เป็นซอฟต์แวร์สำหรับสร้างภาพกราฟิกแบบต่าง ๆ การใช้งานในระดับเบื้องต้นอาจนำไปใช้ประกอบการสร้างเอกสาร หรือการนำเสนอข้อมูล ส่วนการใช้ในระดับสูงอาจใช้สำหรับการตกแต่งภาพหรือรูปถ่าย หรือใช้สำหรับงานด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วิศวกรรม เป็นต้น

5.ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล (Database)
โปรแกรมฐานข้อมูลเป็นโปรแกรมสำหรับสร้างแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ เก็บไว้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยโปรแกรมจะมีเครื่องมือต่าง ๆ ในการอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการจัดการแฟ้มข้อมูล เช่น มีเครื่องมือสำหรับการเพิ่มหรือแก้ไขข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ หรือสามารถเรียกแฟ้มข้อมูลนั้นขึ้นมาแสดงบนจอภาพโดยกำหนดเงื่อนไขให้เลือกข้อมูลมาแสดงเพียงบางส่วน เป็นต้น

6.ซอฟต์แวร์สื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunication Software)
ถ้าผู้ใช้ต้องการติดต่อกับคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลออกไป สามารถทำได้โดยใช้ซอฟต์แวร์สำหรับติดต่อสื่อสารข้อมูล ซอฟต์แวร์ประเภทนี้จะจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นเทอร์มินัล (terminal) ที่สามารถติดต่อไปยังระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้หลายคนได้โดยใช้สายโทรศัพท์ในการโทรติดต่อ และเมื่อติดต่อได้แล้วก็จะสามารถใช้งานระบบต่าง ๆ ที่อยู่ในเครื่องนั้นได้ เสมือนกับนั่งใช้เครื่องอยู่ข้าง ๆ เครื่องที่เราติดต่อเข้าไป การใช้งานที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เช่น ร่วมคุยกับกลุ่มที่สนใจเรื่องเดียวกัน แลกเปลี่ยนจดหมายกับผู้อื่นในระบบหรือแม้กระทั่งจองตั๋วเครื่องบินและจองโรงแรมผ่านทางจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

7.ซอฟต์แวร์ค้นหาข้อมูล (Resource Discovery Software)
หมายถึงซอฟต์แวร์ที่เป็นเครื่องมือสำหรับค้นหาข้อมูลที่ต้องการ จากแหล่งข้อมูลในที่ต่าง ๆ เนื่องจากปัจจุบันนี้ความนิยมในการใช้การติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อินเตอร์เนต หรือเครือข่ายเชิงพาณิชย์อื่น ๆ ช่วยให้สามารถเรียกค้นข้อมูลที่ต้องการทราบได้จากทั่วโลก ตัวอย่างซอฟต์แวร์ประเภทนี้ เช่น Archie , Gopher และ World Wide Web เป็นต้น




วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เเบบฝึกหัด บทที่6

1.)คุณสมบัติของข้อมูลที่ดีประกอบด้วยอะไรบ้าง
1.ความถูกต้อง มีความเป็นปัจจุบัน ตรงตามความต้องการ สามารถตรวจสอบได้
2.สามารถตรวจสอบได้ มีความเป็นปัจจุบัน ความถูกต้อง
3.มีความเป็นปัจจุบัน ความถูกต้อง ตรงตามความต้องการ
4.ตรงความต้องการ ความถูกต้อง

2.)ไฟล์หรือเเฟ้มตารางข้อมูลคือะไร
1.การนำข้อมูลทั้งหมดในเรคอร์ดที่ต้องการจัดเก็บมาเรียงอยู่ในรูปแบบของเเฟ้มตารางข้อมูลเดียวกัน
2.การนำข้อมูลมาซ้อนกันเพื่อให้เกิดตารางข้อมูล
3.การนำข้อมูลมาเรียงลำดับ
4.การนำข้อมูลมาสร้างเเฟ้มทำให้เกิดตาราง

3.)ในเเง่ของการจัดการข้อมูลนั้นข้อมูลมีโอกาสซ้ำกันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
1.ได้ เพราะ การจัดเก็บข้อมูลของหน่วยงานซึ่งเเยกกันไว้หลายที่อาจมีบางส่วนที่ซ้ำซ้อนกันได้
2.ไม่ได้ เพราะ การจัดเก็บข้อมูลของหน่วยงานไม่สามารถเเยกได้
3.ได้ เพราะข้อมูลจัดเก็บไม่เรียงกัน
4.ไม่ได้ เพราะ หน่วยงานจัดเก็บข้อมูลเเบไม่เรียงกัน

4.)โครงสร้างเเฟ้มข้อมูลเเบบสุ่มสามารถทำงานได้เร็ว เป็นเพราะเหตุใด จงอธิบาย
1.เพราะ เมื่อต้องการอ่านข้อมูลไม่สามารถอ่านข้อมูลได้โดยตรง
2.เพราะ เมื่อต้องการอ่านค่าเรคอร์ดสามารถเลือกอ่านค่านั้นได้ทันที
3.เพราะ เมื่อต้องการเข้าถึงข้อมูลต้องสร้างเเฟ้มดรรชนีเพื่อช่วยในการค้นหาข้อมูล
4.เพราะ เมื่อต้องการอ่านข้อมูลต้องสร้างฐานข้อมูลก่อน

5.)ความซ้ำซ้อนกันของข้อมุล คืออะไร จงอธิบาย
1.เเฟ้มข้อมูลของเเต่ละฝ่ายไม่ตรงกัน ซึ่งทำการจัดเก็บข้อมูลเเยกไว้
2.เเฟ้มข้อมูลของเเต่ละฝ่ายตรงกัน
3.เเฟ้มข้อมูลของเเต่ละฝ่าย จัดเรียงกันจนเกิดความซ้ำซ้อน
4.เเฟ้มข้อมูลเเต่ละฝ่ายตรงกันเเต่เก็บข้อมูลเเยกไว้

6.)ภาษาที่ใช้สอบถามข้อมูลโดยผ่านรูปเเบบการใช่คำสั่งเรียกว่าภาษาอะไร
1.RDBMS
2.DBMS
3.ภาษาคิวะรี่
4.ภาษาคิวรี่

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Super Drive

USB Flash Drive บางที่สุดในโลก

เราทราบกันดีว่าคุณสมบัติพื้นฐานของ flash drive นั้นก็คือ เอาไว้เก็บข้อมูล ดังนั้น ผู้ผลิตจึงพยายามแข่งกันคิดค้นวิธีจูงใจลูกค้าให้มาซื้อสินค้าของตน Freecom ก็เป็นรายหนึ่ง...จึงได้ออก flash drive ใหม่ที่บางที่สุดในตลาดออกมายั่วยวนใจนักช้อปกัน โดยมีความหนาเพียง 2mm เท่านั้น

Freecom เค้าชูคอนเซ็ปต์ของเจ้า flash drive ตัวนี้ว่า ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ไม่มีใครที่จะลืมกระเป๋าสตางค์แน่นอน เพราะฉะนั้น เจ้า Freecom USB Cards จึงได้ดีไซน์ออกมาให้บางเท่า credit card เพื่อที่จะพกพาไปไหนๆ ได้โดยไม่ลืม

256 MB - ประมาณ 1,060 บาท

512 MB - ประมาณ 1,080 บาท

1 GB - ประมาณ 1,160 บาท

2 GB - ประมาณ 1,750 บาท

4 GB - ประมาณ 3,140 บาท



Flashdrive ที่จุที่สุดในโลก

Kingston ประกาศวางจำหน่ายผลิตภัณ์อุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบพกพารุ่นใหม่ล่าสุดความจุกว่า 128 GB เป็นรายแรกของโลก ... ขอย้ำอีกครั้งไม่ใช่ 128 MB แต่เป็น 128 GB ...ลังจากนั้นไม่นาน Kingston เพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา Kingston ตะลึงกับปล่อย128GB แรกของโลกเราพึ่งพักหายใจได้ไม่นานก็มี 256GBแรกของโลกและเคลื่อนย้ายไฟย์รวดเร็วที่สุดด้วย USB3.0

โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ความจุและฟีเจอร์การป้องกันการ้เข้าถึงข้อมูลโดยใช้ระบบ รหัสผ่าน และฟีเจอร์ Ready Boost ในระบบปฎิบัติการณ์ Windows Vista และ Windows 7 โดยรคาของเจ้า แฟรชไดรฟ์ขนาดยักษ์รุ่นนี้จะอยู่ที่$796.99 (ประมาณ26,300.67บาท)


Flash Drive ที่เร็วที่สุด

Flash Drive อุปกรณ์สำหรับชาวคอมพิวเตอร์ ที่ทุกคนต้องมี (แต่ผมยอมรับว่าเพิ่งซื้อตัวแรกมาใช้งานเมื่อสองสามปีที่ผ่านมานี่เอง :p) ปัจจุบันมีทั้งยี่ห้อ และรุ่นที่ขายอยู่ทั้งในไทยและต่างประเทศมากมาย ที่สำคัญปัจจุบันความจุก็มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อตามโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร ที่นับวันไฟล์จะยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ ได้ทัน สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามเวลาซื้อ flash drive คือเมื่อเวลาเราซื้อมักจะมองที่ขนาดความจุเป็นอันดับแรก และอาจลืมสนใจในเรื่องอื่นๆ ไป (ไม่ต่างอะไรกับที่ผู้บริโภคทั่วไปนิยมเลือกกล้องโดยดูจากจำนวน megapixel นั่นละ) จนบางครั้งเจอ flash drive ราคาถูกความจุเยอะ แต่อัตราการโอนข้อมูลช้ายิ่งกว่าเรือเกลือ แบบนี้ก็ไม่ไหวนะครับ

นิตยสาร PC Format ของต่างประเทศได้ทำการทดสอบ flash drive จำนวน 11 รุ่น โดยแต่ละตัวที่นำมาทดสอบก็อยู่ในระดับ high end เกือบทั้งสิ้น (ขนาดขั้นต่ำที่ 32GB ขึ้นไป) บางยี่ห้อก็มีขายในไทยหรือไม่มีบ้างก็แล้วแต่ ก็ถือว่าเป็นข้อมูลไว้ตัดสินใจนะครับ สำหรับรายชื่อ flash drive ทั้งหมดเหล่านั้นก็ได้แก่

  1. Corsair Flash Voyager GT 64GB 71/100
  2. Corsair Flash Voyager GTR 32GB 86/100
  3. Sandisk Ultra Backup USB 64GB 80/100
  4. Transcend JetFlash 620 32GB 82/100
  5. Verbatim 32GB eSATA/USB Combo SSD 82/100
  6. Freecom Databar 16GB USB 68/100
  7. Kingston DataTraveler 410 32GB 80/100
  8. PNY Attache 32GB 82/100
  9. Victorinox Secure 16GB 69/100
  10. Lexar Jumpdrive Secure II Plus 32GB 69/100
  11. Transcend JetFlash V20 64GB 90/100

ซึ่งแชมป์ในการจัดอันดับนั่นก็คือ Transcend JetFlash V20 นั่นเองครับ ราคาก็ประมาณเกือบๆ ห้าพันบาทได้หากตีเป็นเงินไทย ถึงรูปร่างจะไม่สวยเท่าไหร่นัก แต่ประสิทธิภาพถือว่าสูงมากทีเดียวสำหรับ Transcend JetFlash V20 มีใครสนใจจะซื้อมาใช้สักอันบ้างไหมครับ